
ราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวลดลงรุนแรงที่สุดในรอบ 5 ปี ราคาทองคำสปอตร่วงจากระดับสูงสุดที่ 2,610 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ลงมาที่ 2,310 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ภายในวันเดียว ลดลงกว่า 300 ดอลลาร์ (ประมาณ 11.5%) ทำให้นักลงทุนทั่วโลกตกตะลึง บทความนี้จะวิเคราะห์สาเหตุหลักของการร่วงลงครั้งนี้จาก 4 มิติ และมองแนวโน้มในระยะถัดไป
1. การขายทำกำไรและความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยที่ลดลง: ขาใหญ่ทยอยถอนตัว
ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ราคาทองคำได้รับแรงหนุนจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของเฟด ส่งผลให้ราคาพุ่งขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 2,610 ดอลลาร์/ออนซ์ แต่เมื่อความกังวลเริ่มคลี่คลาย กองทุนขนาดใหญ่และนักลงทุนสถาบันเริ่มทยอยขายทำกำไร ส่งผลให้ราคาทองคำทรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว
ตามรายงานของ CFTC (Commodity Futures Trading Commission) ณ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 15 ตุลาคม ปริมาณสถานะซื้อสุทธิของสัญญาทองคำลดลง 31,200 สัญญา ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดตั้งแต่ปี 2021 นอกจากนี้กองทุน SPDR Gold Shares (GLD) ยังลดการถือครองลงประมาณ 12 ตัน
อีกทั้งความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยลดลงชัดเจน ดัชนี VIX ที่สะท้อนความผันผวนของตลาดลดลงจาก 18.6 เหลือเพียง 14.1 นักลงทุนกลับมาให้ความสนใจในตลาดหุ้นและพันธบัตร ส่งผลให้ทองคำสูญเสียความเป็น “สินทรัพย์หลบภัย” ชั่วคราว
2. ดอลลาร์แข็งค่าและนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น: ปัจจัยกดดันหลักของทองคำ
ราคาทองคำมักเคลื่อนไหวสวนทางกับค่าเงินดอลลาร์ โดยในสัปดาห์นี้ ดัชนีดอลลาร์ (DXY) พุ่งขึ้นแตะ 108.4 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของปี 2025 ปัจจัยหนุนหลัก ได้แก่:
อัตราเงินเฟ้อ (CPI) เดือนกันยายนเพิ่มขึ้น 3.4% สูงกว่าที่คาดไว้ 3.2% ทำให้ตลาดมองว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยสูงต่อไป
เจ้าหน้าที่เฟด Michelle Bowman แสดงท่าทีสายเหยี่ยว โดยระบุว่า “ยังไม่ถึงเวลาลดดอกเบี้ย”
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี พุ่งขึ้นแตะ 4.88% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 18 เดือน
นอกจากนี้ ความแตกต่างของนโยบายการเงินทั่วโลกยังทำให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นไปอีก
ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ส่งสัญญาณอาจลดดอกเบี้ยปลายปี
ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ยังคงใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินเป็นพิเศษ เยนจึงอ่อนค่าทะลุ 151.00
ค่าเงินหยวนจีน อ่อนค่ามาที่ระดับ 7.33 ต่อดอลลาร์
สภาพดอลลาร์ที่แข็งค่าและอัตราดอกเบี้ยที่สูง ทำให้ทองคำขาดแรงจูงใจในการถือครองและถูกเทขายเพิ่มขึ้น
3. ตลาดโลหะมีค่าร่วงพร้อมกัน: ผลลัพธ์ของแรงขายแบบเป็นระบบ
การร่วงของทองคำไม่ได้เกิดขึ้นเพียงลำพัง โลหะมีค่าอื่น ๆ เช่น เงิน แพลทินัม และพัลลาเดียม ต่างปรับตัวลดลงเช่นกัน
ราคาสปอตเงิน (Silver) ลดลง 5.9% ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดในรอบ 3 ปี
ปริมาณสัญญาเงินฟิวเจอร์สในตลาด COMEX ลดลงกว่า 14,000 สัญญา
ราคาแพลทินัมและพัลลาเดียม ลดลงมาที่ 890 ดอลลาร์/ออนซ์ และ 970 ดอลลาร์/ออนซ์ ตามลำดับ
ค่าสหสัมพันธ์ของราคาทองและเงินเพิ่มขึ้นเป็น 0.89 ซึ่งสูงที่สุดในรอบปี สะท้อนว่าตลาดเกิดแรงขายแบบเป็นระบบ (systematic sell-off) นักลงทุนบางส่วนถูกบังคับปิดสถานะเพราะมาร์จิ้นเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ความผันผวนยิ่งทวีคูณ
4. มองไปข้างหน้า: พักฐานหรือเตรียมดีดกลับ?
ในระยะสั้น ทองคำอาจยังคงเผชิญแรงกดดันจากเทคนิค
ระดับ 2,280 ดอลลาร์/ออนซ์ เป็นแนวรับสำคัญ หากหลุดอาจลงต่อถึง 2,200 ดอลลาร์
ค่า RSI ร่วงจาก 68 เหลือ 39 สะท้อนว่าตลาดอยู่ในภาวะ “ขายมากเกินไป (oversold)”
แต่ในระยะกลางถึงยาว ปัจจัยพื้นฐานยังสนับสนุนโอกาสฟื้นตัวของทองคำ
ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงซื้อทองคำต่อเนื่อง – ข้อมูลจาก World Gold Council ระบุว่า ใน 3 ไตรมาสแรกของปี 2025 มีการซื้อมากถึง 780 ตัน เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับปีก่อน
งบขาดดุลของรัฐบาลสหรัฐฯ ปีงบประมาณ 2025 คาดว่าจะเกิน 1.6 ล้านล้านดอลลาร์
เงินเฟ้อที่ยังเหนียวแน่นและความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ เช่น ความตึงเครียดในตะวันออกกลางและการเลือกตั้งสหรัฐฯ ยังคงเป็นตัวหนุน
นักวิเคราะห์มีมุมมองแตกต่างกัน:
Citi Group คาดว่าทองคำอาจกลับขึ้นสู่ระดับ 2,480 ดอลลาร์/ออนซ์ ภายในสิ้นปี
Morgan Stanley มองว่าทองคำจะเคลื่อนไหวในกรอบ 2,250–2,350 ดอลลาร์
UBS มองว่าหากดัชนีดอลลาร์อ่อนลงต่ำกว่า 105 ทองคำมีโอกาสแตะ 2,500 ดอลลาร์ อีกครั้ง
บทสรุป: ความตื่นตระหนกอาจซ่อนโอกาสทอง
การร่วงของทองคำครั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นผลจากแรงขายทำกำไรและดอลลาร์ที่แข็งค่าในระยะสั้น ปัจจัยพื้นฐานระยะยาวของทองคำในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงยังไม่เปลี่ยนแปลง สำหรับนักลงทุนที่มีวินัย การร่วงแรงเช่นนี้อาจเป็นโอกาสในการทยอยเข้าซื้อระยะกลาง
ดังคำกล่าวที่ว่า “จงกล้าเมื่อคนอื่นกลัว และจงกลัวเมื่อคนอื่นกล้า” — บางที โอกาสทองคำครั้งใหม่ อาจกำลังถือกำเนิดจากแรงขายรอบนี้